คำพิพากษาฎีกาที่ 7334/2558
บริษัทยู จำกัด โจทก์
นายพาก จำเลย
เรื่อง 1. ห้ามอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522
2. พรบ จัดตั้งศาล ม.54
3. พรบ. คุ้มครองแรงงาน ม.119
- โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ได้ปล่อยสินเชื่อ ขัดต่อมติคณะกรรมการบริหารของโจทก์ เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 16,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
- จำเลยให้การว่า จำเลยทำงาน เป็นไปตามนโยบายของโจทก์ ไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง
- ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,822,887.09 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
- จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
- ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยให้สินเชื่อเงินกู้ โดยทำเป็นสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนำรถยนต์และสัญญารับฝากรถยนต์ รวม 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 16,000,000 บาท รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ระบุเพียงว่าจำเลยได้รายงานที่ประชุมทราบ ว่าโจทก์ดำเนินการปล่อยเงินกู้ระยะสั้นในลักษณะจำนำรถยนต์และนำรถยนต์ที่จำนำไปฝากไว้ให้ผู้อื่นดูแลรักษาซึ่งที่ประชุมรับทราบ รับฟังไม่ได้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของโจทก์อนุมัติหรือให้สัตยาบันการให้สินเชื่อกู้ยืมตามที่จำเลยรายงานต่อที่ประชุม จำเลยในฐานะกรรมการมีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 2,000,000 บาท จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตแบ่งสัญญากู้ยืมเงินเป็น 6 ฉบับ เพื่อจำเลยจะได้มีอำนาจอนุมัติให้สินเชื่อในวงเงินตามสัญญา จำเลยปล่อยสินเชื่อกู้ยืมเงิน โดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของโจทก์และเกินวงเงินสินเชื่อ 2,000,000 บาท 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 10,000,000 บาท แต่ความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ ประกอบด้วย โจทก์จึงมีส่วนต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากจำเลยกระทำละเมิด และการกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ได้รับรายได้เป็นดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนนี้เป็นเงิน 3,817,050 บาท เมื่อนำเงินกู้ 10,000,000 บาท มาหักลบกับรายได้ดังกล่าว คงเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นเงิน 6,182,950 บาท เห็นควรให้โจทก์มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายนี้เป็นเงิน 2,360,062.92 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 3,822,887.09 บาท
- ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า “จากนั้นกรรมการผู้จัดการได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ช่วงนี้บริษัทฯไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหม่เนื่องจากลูกค้ารายใหม่ที่บริษัทฯ ติดต่อไว้หลายรายปฎิเสธการใช้บริการกับบริษัทฯ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูง ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ทำการปล่อยเงินกู้ระยะสั้นๆในลักษณะการรับจำนำรถยนต์โดยลูกค้าจะนำรถยนต์และเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าวพร้อมทั้งจ่ายเช็คชำระหนี้มาให้ไว้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21.50% ส่วนรถยนต์ที่ลูกค้าจำนำบริษัทฯ ได้นำไปฝากไว้กับบริษัทอีตั้นฯ ให้เป็นผู้ดูแลรักษา” ที่ประชุมรับทราบ และคุณสุดจิต ได้มีข้อเสนอแนะให้พิจารณารับจำนำเฉพาะรถยนต์ที่เป็นที่นิยมของตลาดและสามารถขายได้ง่าย” ซึ่งแปลความได้แล้วว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารรับทราบการปล่อยสินเชื่อในลักษณะของการรับจำนำรถยนต์และอนุมัติให้จำเลยทำการปล่อยสินเชื่อในลักษณะดังกล่าวต่อไปได้ นอกจากนี้กรรมการบริหารโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันว่าจำเลยปล่อยสินเชื่อไปโดยคณะกรรมการบริหารโจทก์ไม่ได้อนุมัติแต่พยานโจทก์ปากอื่นกลับเบิกความว่าเป็นการปล่อยสินเชื่อไปตามที่ได้รับอนุมัติ ตามรายงานการประชุม จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยปล่อยสินเชื่อไปโดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการการบริหารนั้น เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง และอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาอื่นๆ ไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
- พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї Ї
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com
Code : 3