คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3017/2561
เรื่อง 1. นายจ้างลดค่าจ้าง และปรับเปลี่ยนตำแหน่งลูกจ้างมาโดยตลอดหลายปี โดยลูกจ้างมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือไปร้องพนักงานตรวจแรงงาน ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ นายจ้างไม่ได้จัดหาให้ตั้งแต่ลูกจ้างเข้าทำงาน โดยลูกจ้างใช้รถยนต์โจทก์เองตลอดเวลากว่า 10 ปี พฤติการณ์ถือได้ว่านายจ้างและลูกจ้างต่างตกลงกันโดยปริยายเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างแล้ว
- คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ค่าจ้างเดือนละ 195,000 บาท ประกอบด้วยเงินเดือน 190,000 บาท และค่าน้ำมันรถ 5,000 บาท จำเลยตกลงให้โจทก์มีสิทธิครอบครองและใช้รถยนต์ประจำตำแหน่ง 1 คัน พร้อมคนขับ 1 คน
- ต่อมาตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2545 จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียง 100,000 บาท ค่าจ้างส่วนที่เหลืออีก 95,000 บาท จำเลยไม่จ่ายโดยไม่มีเหตุผล
3.ในระหว่างทำงานโจทก์ได้รับค่าจ้างเรื่อยมา แต่จำเลยไม่นำค่าจ้างจำนวน 95,000 บาท มาเป็นฐานในการปรับค่าจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้าง โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป อัตราค่าจ้างเดือนละ 180,062.24 บาท
- แต่เมื่อรวมค่าจ้างที่จำเลย ต้องจ่ายให้อีก 95,000 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 295,062.24 บาท และตั้งแต่ทำงานจำเลยไม่เคยส่งมอบรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ
- ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2554 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุผล เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายเดือนละ 95,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่มทุกระยะเวลา 7 วัน เป็นเงิน 341,733,049.95 บาท
- โจทก์ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวและต้องว่าจ้างคนขับเองเป็นเวลา 10 ปี 2 เดือน 3 วัน คิดเป็นเงิน 6,832,000.00 บาท
- นอกจากนี้โจทก์ไม่นำค่าจ้าง 95,000 บาท มาคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
- จำเลยจึงต้องรับผิดค่าชดเชยที่จ่ายไม่ครบ 950,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่วงล่วงหน้า 95,000 บาท เงินโบนัส ฯลฯ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕,๕๐๑,๒๔๔.๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
- ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
- ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติและวินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่ายมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดจ่ายค่าจ้าง ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
- ส่วนที่จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละ 100,000 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2545 เป็นต้นไปนั้น หากจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ไม่ครบ โจทก์น่าจะโต้แย้งต่อผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยหรือโต้แย้งไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลย หากจำเลยยังเพิกเฉย โจทก์น่าจะร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน แต่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านหรือทวงถามหรือร้องทุกข์หรือร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลย หรือยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานประกอบกับจำเลยย้ายโจทก์ดำรงตำแหน่งต่างๆ และปรับเปลี่ยนอัตราเงินเดือนโจทก์มาโดยตลอด จนกระทั่งครั้งสุดท้ายได้รับเงินเดือน 180,062.24 บาท โจทก์ก็รับเงินเดือนในอัตรา ที่ปรับเปลี่ยนโดยไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน จึงรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยได้มีการตกลงปรับเปลี่ยนตำแหน่ง และกำหนดเงินเดือนกันใหม่ให้เหมาะสมตามที่จำเลยนำสืบ และจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ครบตามข้อตกลงที่เปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว จำเลยจึงไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ จำเลยไม่ได้จัดหาให้โจทก์ตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานกับจำเลย โดยโจทก์ใช้รถยนต์โจทก์เองตลอดเวลากว่า ๑๐ ปี พฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างตกลงกันโดยปริยายให้จำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างในเรื่องการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมคนขับรถ และสัญญาจ้างตามเอกสาร จ. 8 ปรากฏเพียงโจทก์มีสิทธิใช้รถยนต์ของบริษัทเท่านั้น แต่โจทก์กลับใช้รถยนต์ส่วนตัว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าใช้สอยรถยนต์ส่วนตัวเป็นรถยนต์ประจำตำแหน่งและค่าจ้างคนขับรถได้จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ขณะอายุ 63ปี ซึ่งโจทก์ทำงานจนถึงอายุ 74 ปี ปรากฏในทางนำสืบว่าโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในตำแหน่ง
รักษาการผู้จัดการทั่วไปจำเลยจึงนำเสนอโครงการเกษียณอายุการทำงานให้โจทก์และเลิกจ้างโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยศาลแรงงานภาค 2ไม่ชอบ เนื่องจากในทางนำสืบไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ที่ระบุว่าโจทก์และจำเลยตกลงปรับเปลี่ยนตำแหน่งและกำหนดอัตราเงินเดือน เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อตกลงโจทก์ยินยอมหรือตกลงเปลี่ยนแปลงเป็นลายลักษณ์อักษร อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดล้วนเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 2 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง (เดิม)
- ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
*********************************************
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
C.65