When:
10/30/2019 @ 8:47 am – 9:47 am
2019-10-30T08:47:00+07:00
2019-10-30T09:47:00+07:00

คำพิพากษาฎีกาที่  4711/2551

 

นางส.                                                                        โจทก์

นายว.                                                                        จำเลย

เรื่อง          1.  การเลิกจ้างสาเหตุขาดงาน 3 วันทำงานติดต่อกัน ต้องมีเหตุที่ศาลรับฟังได้

 มิฉะนั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชย

1. โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งครูพี่เลี้ยง ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่  24   พฤษภาคม  2548 โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและการเลิกจ้างมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายในระหว่างทำงานกับจำเลย  จำเลยหักเงินเดือนของโจทก์อ้างว่าโจทก์ขาดงานซึ่งโจทก์ไม่ได้ขาดงานตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า  ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย และจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน  1,429  บาท  ค่าชดเชยจำนวน  21,450 บาท พร้อมดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

2. จำเลยให้การว่า ตั้งให้นางป. ภริยาจำเลยเป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานรับเลี้ยงเด็กในตำแหน่งครูใหญ่ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงและเป็นการทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต โดยโจทก์ให้นาง ป. กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด ณ สถานที่ทำการของจำเลยและในเวลาทำงาน วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 โจทก์เข้ามาทำงานแต่ได้ออกจากที่ทำงานในเวลา 16.30 นาฬิกา             ก่อนการเลิกงานโดยลงเวลาทำงานไม่ตรงความจริง วันที่ 25 พฤษภาคม 2548 โจทก์ไม่มาทำงาน แต่โจทก์               นำเจ้าพนักงานตำรวจมาที่ทำงานในเวลา 13.30 นาฬิกา เพื่อบีบบังคับให้นางป. ชำระดอกเบี้ยเงินกู้ต่อหน้าพนักงานของจำเลยแล้วโจทก์ได้กลับไปโดยไม่ทำงานเป็นการขาดความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาทำให้เสีย               การปกครองและวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 โจทก์มาทำงานและยื่นใบลาพักผ่อนย้อนหลัง แต่นางป. ไม่อนุญาตเนื่องจากยื่นใบลาไม่ถูกต้องตามระเบียบ โจทก์ก็ไม่พอใจและไม่ทำงานแล้วออกไปจากสถานที่ทำงานโดย            ไม่ลงเวลาทำงาน การกระทำของโจทก์เป็นการละทิ้งหน้าที่ในวันที่ 24 ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนั้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 ได้ทำหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากงาน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง

3. ศาลแรงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

4. ศาลฎีกา  เห็นว่า ในวันที่  24  และวันที่  26  พฤษภาคม  2548 โจทก์ได้ไปทำงานและปฏิบัติหน้าที่จนถึงเวลาเลิกงาน ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ปรากฎว่าการที่โจทก์ให้นางป. กู้ยืมเงินนั้น โจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากนางปรารถนาเป็นเงินจำนวนมากน้อยเท่าใด และไม่ปรากฎว่านอกจากนางป. แล้วยังมีพนักงานของจำเลยคนใดกู้ยืมเงินจากโจทก์อีก จะถือว่าโจทก์มีพฤติการณ์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ ทั้งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่มี          ข้อห้ามมิให้ลูกจ้างของจำเลยให้ลูกจ้างอื่นกู้ยืมเงิน  จึงไม่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าโจทก์ให้นางปรารถนากู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้ว                   เป็นความผิดอาญา ฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากนางป. เป็นจำนวนเท่าใด                          การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์

5. จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจมาที่ทำงาน เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นการข่มขู่และขาดความเคารพต่อนางปรารถนาซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง  เสียการปกครองต่อพนักงานอื่น  จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย  เห็นว่า  ตามหนังสือเลิกสัญญาจ้างระบุว่า  “ท่านได้มีพฤติการณ์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง”   แต่ก็เนื่องมาจากเพียงพฤติการณ์ที่อ้างว่าโจทก์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นการอ้างเหตุผลอื่นนอกจากที่ระบุในคำสั่งเลิกจ้าง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

6. พิพากษายืน

 

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

 

รวบรวมโดยนายไพบูลย์   ธรรมสถิตย์มั่น  (บ.35)