คำพิพากษาฎีกาที่ 4711/2551
นางส. โจทก์
นายว. จำเลย
เรื่อง 1. การเลิกจ้างสาเหตุขาดงาน 3 วันทำงานติดต่อกัน ต้องมีเหตุที่ศาลรับฟังได้
มิฉะนั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชย
1. โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งครูพี่เลี้ยง ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและการเลิกจ้างมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายในระหว่างทำงานกับจำเลย จำเลยหักเงินเดือนของโจทก์อ้างว่าโจทก์ขาดงานซึ่งโจทก์ไม่ได้ขาดงานตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย และจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 1,429 บาท ค่าชดเชยจำนวน 21,450 บาท พร้อมดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
2. จำเลยให้การว่า ตั้งให้นางป. ภริยาจำเลยเป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานรับเลี้ยงเด็กในตำแหน่งครูใหญ่ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงและเป็นการทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต โดยโจทก์ให้นาง ป. กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด ณ สถานที่ทำการของจำเลยและในเวลาทำงาน วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 โจทก์เข้ามาทำงานแต่ได้ออกจากที่ทำงานในเวลา 16.30 นาฬิกา ก่อนการเลิกงานโดยลงเวลาทำงานไม่ตรงความจริง วันที่ 25 พฤษภาคม 2548 โจทก์ไม่มาทำงาน แต่โจทก์ นำเจ้าพนักงานตำรวจมาที่ทำงานในเวลา 13.30 นาฬิกา เพื่อบีบบังคับให้นางป. ชำระดอกเบี้ยเงินกู้ต่อหน้าพนักงานของจำเลยแล้วโจทก์ได้กลับไปโดยไม่ทำงานเป็นการขาดความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาทำให้เสีย การปกครองและวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 โจทก์มาทำงานและยื่นใบลาพักผ่อนย้อนหลัง แต่นางป. ไม่อนุญาตเนื่องจากยื่นใบลาไม่ถูกต้องตามระเบียบ โจทก์ก็ไม่พอใจและไม่ทำงานแล้วออกไปจากสถานที่ทำงานโดย ไม่ลงเวลาทำงาน การกระทำของโจทก์เป็นการละทิ้งหน้าที่ในวันที่ 24 ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนั้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 ได้ทำหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากงาน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
3. ศาลแรงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
4. ศาลฎีกา เห็นว่า ในวันที่ 24 และวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 โจทก์ได้ไปทำงานและปฏิบัติหน้าที่จนถึงเวลาเลิกงาน ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ปรากฎว่าการที่โจทก์ให้นางป. กู้ยืมเงินนั้น โจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากนางปรารถนาเป็นเงินจำนวนมากน้อยเท่าใด และไม่ปรากฎว่านอกจากนางป. แล้วยังมีพนักงานของจำเลยคนใดกู้ยืมเงินจากโจทก์อีก จะถือว่าโจทก์มีพฤติการณ์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ ทั้งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่มี ข้อห้ามมิให้ลูกจ้างของจำเลยให้ลูกจ้างอื่นกู้ยืมเงิน จึงไม่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าโจทก์ให้นางปรารถนากู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้ว เป็นความผิดอาญา ฟังข้อเท็จจริงแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับดอกเบี้ยจากนางป. เป็นจำนวนเท่าใด การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
5. จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจมาที่ทำงาน เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นการข่มขู่และขาดความเคารพต่อนางปรารถนาซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เสียการปกครองต่อพนักงานอื่น จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เห็นว่า ตามหนังสือเลิกสัญญาจ้างระบุว่า “ท่านได้มีพฤติการณ์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง” แต่ก็เนื่องมาจากเพียงพฤติการณ์ที่อ้างว่าโจทก์เป็นนายทุนให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นการอ้างเหตุผลอื่นนอกจากที่ระบุในคำสั่งเลิกจ้าง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
6. พิพากษายืน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น (บ.35)