คำพิพากษาฎีกาที่  4754/2556

 นายสมพร วรรณศรี                 โจทก์  

 บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด         จำเลย

 เรื่อง  กรณีที่โจทก์นำส่งเงินให้จำเลยล่าช้าและทำรายงานเท็จเสนอต่อจำเลยว่าคู่กรณีให้ผัดผ่อนเลื่อนการชำระเงินนั้น เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน

 หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมอันเป็นกรณีร้ายแรง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่  ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม  โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย

 สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า  ค่าเสียหาย  และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ   

 คำพิพากษาฎีกาที่  4754/2556

 นายสมพร วรรณศรี                    โจทก์  

 บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด            จำเลย

 เรื่อง กรณีที่โจทก์นำส่งเงินให้จำเลยล่าช้า และทำรายงานเท็จเสนอต่อจำเลยว่าคู่กรณีให้ผัดผ่อน เลื่อนการชำระเงินนั้น เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน   หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมอันเป็นกรณีร้ายแรง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม   โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า  ค่าเสียหาย  และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ   

 1. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุ 3 ประจำศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2549  จำเลยมี หนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่  จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย  โดยนำเงินค่าสินไหมทดแทนของจำเลยไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่ง  ไม่เป็นความจริง จำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม  และมิได้บอก กล่าวล่วงหน้า  ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 160,000 บาท  สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วหน้า     32,200  บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของจำเลย 160,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม  4,250,400  บาท เบี้ยเลี้ยง 1,188,000 บาท พร้อม       ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

  2. จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 โจทก์รับเงินจากคู่กรณีที่ชดใช้ค่าเสียหาย  40,000 บาท แต่ไม่นำส่งจำเลยภายใน 24 ชั่วโมง ตามหลักเกณฑ์ของจำเลย   ที่ได้มีการประชุมกันเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 ทั้งโจทก์รายงานเท็จว่าคู่กรณีขอเลื่อนนัดการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2549 โจทก์รับเงินที่คู่กรณี 2 ราย ชดใช้ค่า   เสียหาย แต่มิได้นำส่งเงินภายใน 24 ชั่วโมง โจทก์ไม่มีสิทธิ เรียกร้องค่าเสียหาย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ       เกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย โดยทุจริตต่อหน้าที่และกระทำความผิดอาญา  โดยเจตนาแก่นายจ้าง  จงใจทำให้นายจ้างได้รับความ     เสียหาย อีกทั้งการกระทำของโจทก์ยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) (2) และ (4) โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรอง   เลี้ยงชีพส่วนของจำเลย เพราะโจทก์กระทำขัดต่อข้อบังคับ ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำเลยไล่โจทก์ออกชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม   ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้อง   ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เกิดจากข้อพิพาทแรงงานแต่เป็นค่าเสียหายจากมูลละเมิด  ขอให้ยกฟ้อง 

   3. ศาลแรงงานภาค  8  พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง                                        

   4. ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 คู่กรณีชำระค่าสินไหมให้แก่จำเลยผ่านโจทก์ 40,000 บาท แต่โจทก์ไม่นำส่ง       เงินดังกล่าวให้แก่จำเลยในวันเดียวกันโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง  ทั้งโจทก์ยังทำรายงานว่าคู่กรณีขอเลื่อนชดใช้ค่าสินไหมไปในวันที่ 1 พฤษภาคม 2549 และต่อมาได้ทำ       รายงานว่าคู่กรณีขอเลื่อนการชดใช้ค่าสินไหมไปในวันที่ 3 พฤษภาคม 2549  และสุดท้ายโจทก์นำเงิน  40,000 บาท มาชำระแก่จำเลยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2549         และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549 โจทก์ได้รับค่าสินไหมของรถคู่กรณีกับรถที่จำเลยเอาประกันภัยไว้รวม 2 ราย รายแรก 10,000 บาท  แต่โจทก์กลับนำส่งเงินให้จำเลยเมื่อ   วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 และ รายที่สองคู่กรณีชดใช้ค่าสินไหม 10,000 บาท แต่โจทก์กลับนำเงินส่งแก่จำเลยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2549 ทั้งที่ในเดือนมกราคม 2549   จำเลยได้เรียกประชุมประจำเดือนของพนักงานซึ่งที่ประชุมมีมติให้พนักงานทุกคน ต้องนำเงินที่รับจากคู่กรณีส่งจำเลยในวันเดียวกัน   โจทก์เข้าร่วมประชุมและลงชื่อรับ       ทราบมติที่ประชุมดังกล่าวแล้ว  และวินิจฉัยว่า  โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง  เป็นการทุจริตต่อหน้าที่   ทั้งโจทก์กระทำการดังกล่าวใน       ทำนองเดียวกันหลายครั้งติดต่อกัน จึงมีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยจะเกิดความไม่ไว้วางใจโจทก์  ที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุทุจริตต่อหน้าที่จึงมีเหตุผล             เพียงพอ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า  เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและค่าเสียหาย

  5.พิพากษายืน



รวบรวมโดยนายไพบูลย์  ธรรมสถิตย์มั่น             

        www.paiboonniti.com