คำพิพากษาฎีกาที่ 181/2555
นายสมร ผดุงทิพย์ โจทก์
บริษัท อูช่า สยาม สตีล อินดัสตรี้ยส์ จำกัด (มหาชน) จำเลย
เรื่อง โจทก์นำขดลวดหนัก 150 กิโลกรัมใส่รถขนขยะเอาเศษขยะปกคลุมไว้ จำเลยมาตรวจพบเสียก่อน โจทก์อ้างว่ายังไม่ได้นำออกจากบริษัทฯจะถือว่าร้ายแรงไหม
1.โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2533 โจทก์ทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายเป็นฝ่ายบุคคลและธุรการ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ โดยที่โจทก์มิได้กระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
2.จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการย้ายวัสดุเหลือใช้ออกจากโรงงาน ได้ทำการยกลวดน้ำหนักประมาณ 150 กิโลกรัม ขึ้นไปบนรถขนขยะโดยใช้เศษขยะยกคลุมไว้เพื่อจะนำออกจากโรงงาน แต่ถูกพบเสียก่อน จำเลยพิจารณาความผิดของโจทก์เห็นว่าลวด 150 กิโลกรัมสามารถนำไปขายเป็นม้วน การกระทำของโจทก์จึงมีเจตนาที่จะนำทรัพย์สินของจำเลยออกไปจำหน่าย จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
3.ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและธุรการ โจทก์มีเจตนาลักขดลวด 150 กิโลกรัม ของจำเลยไปจำหน่ายโดยทุจริต การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ พิพากษายกฟ้อง
4.โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
5.ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำหรือมีพฤติการณ์ที่ส่งให้เห็นว่า มีเจตนาที่จะเอาขดลวดไปเป็นของตน ขดลวดที่นำไปทิ้งในรถขนขยะก็ยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยและได้รับคืนทั้งข้อเท็จจริงมิได้ปรากฏว่าจะเอาไปทำอะไรกับใครที่ไหนอย่างไร อันจะแสดงหรือแปลความหมายให้เห็นว่ามีเจตนาทุจริตนั้น เห็นว่า ดังนั้นแม้จะไม่ปรากฏว่าโจทก์จะได้นำขดลวดนั้นไปจำหน่ายหรือหากำไรอย่างไรแต่การที่โจทก์ประพฤติดังกล่าวส่อให้เห็นความไม่ซื่อตรง ถือได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างเป็นกรณีร้ายแรง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
6.พิพากษายืน
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com